ทุกข์ไม่มี
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “พระอรหันต์ท่านยังมีทุกข์ทางใจอยู่หรือไม่”
กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ
หลวงพ่อ : แหม! เคารพจริงหรือเปล่าวะ
ถาม : ๑. พระอรหันต์ท่านยังมีทุกข์ทางใจอยู่หรือไม่
๒. ทุกข์ทางใจเป็นขันธ์หรือเป็นกิเลส
ตอบ : พระอรหันต์ท่านจะมีทุกข์หรือไม่มันก็ต้องไปถามพระอรหันต์น่ะ ไปถามหลวงตา หลวงตาก็ตบปากเลยล่ะ เวลาไปถามหลวงตานะ หลวงตาตบปาก ตบปากซะ แต่ถ้าถามเป็นประโยชน์นะ ท่านก็จะตอบ
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ไปถามเรื่องพระอรหันต์น่ะ แล้วเรื่องของเรา สมาธิทำเป็นหรือเปล่า เราทำสมาธิได้หรือไม่ เรามีศรัทธาความเชื่อในศาสนาหรือไม่ ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อในศาสนา มีศรัทธามีความเชื่อ มีศรัทธาไง ศรัทธาเป็นหัวรถจักรจะชักลากให้เราเข้ามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เราจะฝึกหัดปฏิบัติของเรา ถ้าเราจะฝึกหัดปฏิบัติของเรานะ เพราะแค่จิตสงบนั่นน่ะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต มันก็จะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ นี่ในการประพฤติปฏิบัตินะ
แต่ถ้าเป็นคำถาม คำถามมาจากไหน คำถามบางทีมันเกิดจากพระที่พูดนี่ พระพูดกันพล่อยๆ พระพูดกันไปนะ “พระอรหันต์เป็นอย่างนั้น พระอรหันต์เป็นอย่างนี้”...เอ็งเป็นหรือ เอ็งรู้หรือ ใครรู้ พูดถึงใครรู้ล่ะ ใครรู้เรื่องของพระอรหันต์
นี่ก็เหมือนกัน ไอ้เราก็ไม่รู้หรอก แต่เราศึกษา เราพยายามค้นคว้าจากครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านสั่งสอนกันมา เวลาพูดก็ต้องครูบาอาจารย์ว่าอย่างนั้น เห็นไหม
เวลาพระอานนท์อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดว่าอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีสิ่งใดพยากรณ์ก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนจัดการ
นี่ก็เหมือนกัน “พระอรหันต์ท่านยังมีทุกข์อยู่หรือไม่ พระอรหันต์ท่านมีทุกข์ทางใจอยู่หรือไม่”
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ถ้าจิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจแล้ว ทุกข์ สมุทัย นิโรธ นิโรธดับหมดเลย ดับด้วยมรรค แล้วมันเหลืออะไรล่ะ มันจะทุกข์มาจากไหน ไม่มีหรอก ทุกข์ไม่มี ไม่มีเพราะอะไร ไม่มีเพราะไม่มีที่ให้ทุกข์ตั้ง
ทุกข์ตั้งอยู่บนอะไร ทุกข์มาจากไหน ทุกข์ก็ตั้งอยู่บนใจนี่ไง ทุกข์มันก็บีบคั้นหัวใจอยู่นี่ ฉะนั้น เวลาบีบคั้นหัวใจขึ้นมา
เวลาพระอรหันต์ พระอรหันต์มันต้องทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายหมด ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีรูปพรรณสัณฐาน ถ้าไม่มีรูปพรรณสัณฐาน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๔๕ ปีนั่นน่ะ อีก ๔๕ ปี ดูสิ เทวทัตเอาคนมาฆ่า เทวทัตจ้างนายธนูมายิง นี่มีความทุกข์หรือไม่ มีความทุกข์หรือไม่
มันไม่มี สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่มันสิ้นกิเลสไปแล้ว สิ้นกิเลสแล้วจะเอาทุกข์มาจากไหน ทุกข์ไม่มี ทุกข์ไม่มี ไม่มีทุกข์ เพราะทุกข์มันดับหมดแล้ว แล้วทุกข์มันดับหมดแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปปรินิพพานไง จะปรินิพพาน ไปกับพระอานนท์ “อานนท์ เรากระหายน้ำเหลือเกิน อานนท์ เรากระหายน้ำเหลือเกิน ตักน้ำมาเถอะ”
พระอานนท์ ด้วยความเคารพบูชานะ ด้วยความเคารพบูชาก็อยากให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ฉันน้ำใสๆ ฉันน้ำฝนที่ดี น้ำนี้เกวียนเพิ่งผ่านไป มันขุ่นไง ไม่อยากจะเอาน้ำขุ่นๆ นี้ไปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน”
พระอานนท์จำใจต้องลงไปตัก พอไปตักขึ้นมา ด้วยอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงนั้นใสหมดเลย มันยิ่งทำให้พระอานนท์ทึ่งเข้าไปใหญ่เลย พอพระอานนท์ทึ่งเข้าไปใหญ่ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “สิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็น ได้เป็นขึ้นมาแล้วพระเจ้าค่ะ สิ่งที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็น สิ่งที่ไม่เคยเห็นมันเห็นแล้วพระเจ้าค่ะ” โอ้โฮ! มันซาบซึ้ง มันซาบซึ้ง
“อานนท์ มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นเช่นนี้เอง มันไม่มีอะไรมหัศจรรย์หรอกอานนท์” เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่มีความอหังการในหัวใจ ไม่มีอะไรในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากระหายล่ะ อ้าว! กระหาย นี่ไง มันมีทุกข์ไหม
เมื่อกี้โยมกินข้าวมีความทุกข์ไหม มีความทุกข์หรือมีความสุข กินข้าวเมื่อกี้นี้ แล้วพรุ่งนี้ต้องกินอีกไหม กิน อ้าว! แล้วกินเสร็จแล้วนะ เวลาจะถ่ายต้องถ่ายไหม ถ่าย ถ้าถ่าย ถ้าส้วมมันเต็ม คนยืนรอนาน โยมต้องอั้นไว้ เป็นทุกข์ไหม
อ้าว! ไอ้ทุกข์อย่างนี้มันเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ไง ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธาภาระหน้าที่ไง มันเป็นภาระหน้าที่ มันไม่ใช่ความทุกข์ความยากไง มันเป็นสิ่งที่มันมีอยู่เพราะมันมีธาตุมีขันธ์ใช่ไหม มีธาตุมีขันธ์มันก็มีอยู่ของมัน แต่มันเป็นความทุกข์ไหม เป็นความยึดมั่นถือมั่นไหม เป็นความเจ็บช้ำน้ำใจไหม ไม่น่ะ มันมีความทุกข์หรือไม่ ไม่มี ไม่มีเพราะอะไร
ไม่มีเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีสติมีปัญญา ปัญญามันครอบคลุมหมดแล้ว ไม่มีสิ่งใดตกค้าง ไม่มีสิ่งใดเลย เลยทุกข์ไม่มี
ทุกข์ไม่มีแล้วกระหายทำไม
อ้าว! ก็ร่างกายมันเหนื่อย ก็คนมันเหนื่อย เหนื่อยก็คือเหนื่อยไง เหนื่อยก็ไม่ทุกข์ ดูสิ พ่อแม่เลี้ยงลูกอาบเหงื่อต่างน้ำเหนื่อยไหม พ่อแม่เลี้ยงลูกเหนื่อยไหมๆ ทุกข์หรือสุข โอ๋ย! ยิ่งเหนื่อยยิ่งชอบนะ กินเยอะๆ ยิ่งดีใหญ่ เออ! กินอิ่มนอนอุ่น พอใจ หามาให้ลูกกินน่ะทุกข์หรือสุข ไอ้นี่เทียบถึงมันเป็นโลกๆ นะ
ฉะนั้นบอกว่า “พระอรหันต์ยังมีทุกข์อยู่หรือไม่ ยังมีทุกข์ทางใจอยู่หรือไม่”
มันไม่มีหัวใจ หัวใจก็ไม่มี ไม่มีภวาสวะ ใจคือภพไม่มี ฉะนั้น เวลาบอกว่าใจพระอรหันต์ๆ พระอรหันต์มีใจด้วยหรือ
หลวงตาท่านถึงบอกว่าเป็นธรรมธาตุๆ เป็นธาตุของธรรม เอโก ธมฺโม เป็นธาตุ ธรรมทั้งแท่ง เป็นธรรมทั้งแท่ง ธรรมล้วนๆ ธรรมเหนือโลกด้วย ธรรมที่ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่างหาก มันจะเอาทุกข์มาจากไหน ทุกข์ไม่มี ทุกข์ไม่มีหรอก พระอรหันต์ไม่มีทุกข์ แต่พระอรหันต์มีเหนื่อยนะ มีเหนื่อยนะ หลวงตาเหงื่อไหลไคลย้อยเลยเวลาท่านต้องแบกหามพวกเราไป นี่ต้องทำให้เรา มีทุกข์ไหม ไม่ทุกข์หรอก ไม่ทุกข์เพราะอะไร เพราะมันเป็นภาระ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา
แต่ของเราปุถุชนมันไม่ใช่ภาระ มันเป็นมาร ขันธมารไง ถ้าขันธมาร ขันธ์มันเป็นมาร เป็นมารมีเวรมีกรรม มีการผูกอาฆาต มีการทำลายล้าง มีการกลั่นแกล้ง มีการขัดขา มีการทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ หลอกลวงให้ไปตกหลุมตกร่อง นี่ขันธมาร แต่พระอรหันต์นี่ขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์
ขันธ์มีสะอาดบริสุทธิ์ด้วยหรือ ขันธ์น่ะ
อ้าว! ขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์คือจิตใจที่ใสสะอาด ที่ธรรมธาตุที่สะอาดบริสุทธิ์น่ะ มันมีภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ถ้าไม่มีขันธ์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปห้ามญาติ ญาติข้างพ่อข้างแม่จะรบกันเพื่อแย่งน้ำน่ะ ทำไมจำญาติได้ล่ะ ทำไมพระพุทธเจ้าจำพระเจ้าสุทโธทนะได้ล่ะ ไอ้นี่คือสังขารทั้งนั้นน่ะ ไอ้นี่คือสัญญาทั้งนั้นน่ะ คือขันธ์ทั้งนั้นน่ะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสื่อสารกับพวกเรา พวกเราคือประชาชนในสมัยพุทธกาลน่ะ นั่นก็ขันธ์ สังขารขันธ์ ความคิด ความปรุง ความแต่ง แต่มันสะอาดบริสุทธิ์ไง ไม่มีหน้าไม่มีหลัง ไม่มีลับลมคมในไง นี่ไง ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ของพระอรหันต์ไง
นี่พูดถึง “มีทุกข์ทางใจหรือไม่”
ไม่มี ไม่มีทุกข์ ถ้าพระอรหันต์จริงๆ นะ อย่าให้หลวงตาว่าล่ะ หันซ้ายหันขวาน่ะ หันลงหมอนน่ะ โอ๋ย! หลวงตาท่านเหน็บเจ็บนะ พระอรหันต์หันซ้ายหันขวา กลับหลังหันเลย หันไปทางโลกไง กลับหลังหัน หันไปหลอกลวงเขา หลอกลวงตัวเองไม่พอยังหลอกลวงคนอื่นน่ะ กลับหลังหัน นั่นพระอรหันต์
แต่ถ้าพระอรหันต์แบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์แบบครูบาอาจารย์ของเรานะ นั่นอันนั้นประเสริฐ เราได้พบได้เห็น เราได้เคารพบูชา เราได้เห็นครูบาอาจารย์ของเรานะ โอ้โฮ! เป็นบุญกุศลนะ
การเห็นสมณะเป็นบุญกุศล สมณะที่ ๑ พระโสดาบัน สมณะที่ ๒ พระสกิทาคามี สมณะที่ ๓ พระอนาคามี สมณะที่ ๔ เราได้เห็นสมณะ สมณะประเภทใด เราได้เห็นสมณะนี่เป็นมงคลชีวิต แล้วเราได้อยู่กับครูบาอาจารย์ของเรามันมีมงคลชีวิตไหม
เรามีมงคลชีวิตอยู่แล้ว แต่เรารู้หรือไม่รู้นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เรามีมงคลชีวิต เราได้พบได้เห็น เราได้อยู่กับท่าน เราได้อาศัย เราได้ช่วยเหลืองานท่าน นี่เราได้อยู่ของเรา เราภูมิใจของเรา เราภูมิใจของเรา
นี่ถ้าเป็นของแท้ ของแท้คือพระธรรมดาไง ก็คือหลวงตานี่ไง ปากเปียกปากแฉะด่าพวกเราอยู่นี่ไง พระอรหันต์นะ ด่าเจ็บ นี่ไง พระอรหันต์ของเราไง พระอรหันต์ของเราด่าเจ็บๆ ด้วย แล้วเราก็พอใจ นี่หันแท้ไง ไม่กลับหลังหัน โอ๋ย!สร้างภาพ ขัดผิว อาบน้ำนม นั่นน่ะกลับหลังหัน มันคนละหันน่ะถ้าหันอย่างนั้นนะ
เขาเขียนถามเอง เขาถามมาเอง “๒. ทุกข์ทางใจเป็นขันธ์หรือเป็นกิเลส”
นี่ก็ยังคิดอยู่นะว่ามีทุกข์น่ะ เพราะอะไร เพราะเวลาปริยัติ เวลาการศึกษาเขาจะบอกว่าพระพุทธเจ้ายังมีทุกข์อยู่ มีทุกข์อยู่เพราะว่าท่านยังบ่นกับพระอานนท์ว่าท่านกระหายน้ำ ท่านมีความทุกข์ เขาบอกว่าพระอรหันต์ยังมีทุกข์อยู่ไง
มันจะมีที่ไหน จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดับสิ้น ดับหมด ดับไม่มีเศษเหลือ มันจะเอาทุกข์มาจากไหน
จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ กลั่นออกมาจากสัจจะความจริง เห็นไหม ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ทุกข์มันมีอยู่โดยดั้งเดิม ทุกข์มันเป็นความจริงอยู่แล้ว ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ได้ละสมุทัย ได้ละไอ้ตัวยุยงส่งเสริม ละไอ้สิ่งที่เป็นเครือ ไอ้ที่เป็นเถาที่ไปเกาะทุกข์ไว้น่ะ ได้ทำลายหมดแล้ว ได้ถอดได้ถอนหมดแล้ว มันไม่มีสมุทัยไปเกาะเกี่ยวกับทุกข์ ทุกข์มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทุกข์มันจะไม่เกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะมันเกิดนิโรธๆๆ นิโรธคือการดับ นี่ไง ที่หลวงปู่จวนท่านพูดบอกว่า นิโรธของหลวงปู่มั่นไม่เหมือนนิโรธสมาบัติไง นิโรธคือการดับทุกข์ ดับทั้งหมดไง มันดับสิ้น ดับสิ้น ไม่มีสิ่งใดเหลือ ดับหมด มันจะทุกข์มาจากไหน ถ้ามันไม่มีทุกข์แล้วจบ
ไอ้สิ่งที่มันเป็นภาระ คำว่า “เป็นภาระหน้าที่” คนเรานะ ดูสิ เป็นถึงพระอรหันต์น่ะ ไม่รู้จักการอยู่การกินหรือ เป็นถึงพระอรหันต์น่ะ กินก็กินไม่เป็นหรือ ถ่ายก็ถ่ายไม่เป็นหรือ อ้าว! มันก็กินได้ถ่ายได้ พอกินได้ถ่ายได้ นี่ในมหายานไง หิวก็กินไง ปวดท้องก็ขับถ่ายไง นี่พระอรหันต์ของมหายานเขาพูดอย่างนั้นนะ อ้าว! หิว หิวก็กิน
เขาถาม พระอรหันต์ดำรงชีพอยู่อย่างไร
อ้าว! พระอรหันต์หิวก็กิน ปวดท้องก็ขับถ่ายทิ้ง นี่ไง พระอรหันต์ก็เป็นเรื่องธรรมดา พอเป็นเรื่องธรรมดา มันถึงว่า สอุปาทิเสสนิพพาน สะคือเศษส่วนที่ยังมีอยู่ ต้องประคองธาตุขันธ์ไปถึงที่สุด
เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอำนาจวาสนามากนะ ท่านสร้างสมประสบการณ์ของท่าน ท่านฝึกหัดของท่าน อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวาต้องตายก่อนท่าน มันเหมือนกับว่าท่านปั้นมาทั้งนั้นเลยนะ แล้วก็ตายก่อนท่านไปหมดเลย เหลือทิ้งท่านไว้ไง สุดท้ายแล้วท่านก็ต้องทิ้งธาตุขันธ์ของท่านไป แล้วท่านก็ทิ้งธาตุขันธ์ของท่านไป มันก็มาได้พระกัสสปะ พระกัสสปะมาบวชเอาตอนแก่ ตอนแก่อายุแปดสิบ “กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา ทำไมเธอยังถือธุดงควัตร เธอก็เป็นพระอรหันต์แล้ว”
“อ้าว! ข้าพเจ้าจะทำเพื่ออนุชนรุ่นหลังไปไง”
ฉะนั้น พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วสามเดือน พระกัสสปะทำสังคายนา ทำสังคายนา โอ้โฮ! นี่มันเป็นสายบุญสายกรรมน่ะ มันเป็นเวรกรรมของใครไง
ฉะนั้น สิ่งที่ว่ามันเป็นภาระเป็นหน้าที่ ทุกข์ไม่มี พระอรหันต์ไม่มีทุกข์ ทุกข์ทางอะไร เขาบอกว่าทางใจๆ ทางใจนี้เป็นการสื่อสารกับสังคมที่เข้าใจว่าทางใจ มันไม่มีหรอก ใจก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี แล้วไม่มีแล้วบ่นเหนื่อยบ่นทุกข์ทำไม
โอ้โฮ! เวลาหลวงตาท่านเหนื่อยท่านบ่นนะ บ่นน่าดูเลย บ่นเพราะมันเป็นธาตุขันธ์ไง ร่างกายนี้ เห็นไหม ดูทางการแพทย์ ทางการแพทย์ เราดำรงชีพอย่างไรมันก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บอย่างนั้น นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรายังต้องการอาศัยธาตุขันธ์นี้เพื่อจะสื่อสาร สื่อสารเพราะอะไร เพราะเป็นโลกไง
เราเข้าใจ เห็นไหม สบตาๆ สบตาก็รู้ใจ สบตากันน่ะ สบตากัน สั่งงานกัน แค่สบตานะ จะเอาไอ้นั่น จะเอาไอ้นี่ มันเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ มันเป็นธรรมทั้งแท่งนะ ฉะนั้น ทุกข์ทางใจไม่มี ทุกข์ทางใจไม่มี
เขาบอก “ทุกข์ทางใจเป็นขันธ์หรือเป็นกิเลส”
นั่นแน่ เราถึงบอกว่ามันเขียนมานี่มันเคารพกูจริงหรือเปล่าวะ เพราะถ้าทุกข์ทางใจมันมี มันเป็นใจกับขันธ์นี้เป็นอันเดียวกันหรือเปล่า
ไม่เป็น แล้วคนภาวนาเป็นเขาจะรู้ ถ้าอธิบายไปแล้วมันก็เป็นแง่เป็นมุมที่คนจะโต้แย้งอีกน่ะ
ขันธ์ก็คือขันธ์ จิตก็คือจิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิต เพราะว่าขันธ์มันเกิดดับ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณมันเกิดดับ แต่จิตมันไม่ดับ เห็นไหม ขันธ์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ แล้วจิตกับใจแทนกัน แล้วถ้าทุกข์ทางใจมี มันเป็นขันธ์ ถ้าเป็นขันธ์ มันเป็นกิเลสหรือไม่
เออ! จะบอกว่าพระอรหันต์ยังมีกิเลสใช่ไหม ก็กลับหลังหันนั่นไง กลับหลังหันนั่นน่ะมันมีกิเลส กิเลสทั้งตัว หันอย่างนั้นน่ะ พอหันอย่างนั้นไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เพราะว่าอาชีพนะ พระอาชีพ เราไม่ใช่อาชีพพระ พระอาชีพ อาชีพพระ มันก็เพื่อเป็นอาชีพ แต่เราบวชจริงๆ เราบวชมาเพื่อชำระล้างกิเลส
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า “ทุกข์ทางใจเป็นขันธ์หรือเป็นกิเลส”
ทีนี้พูดถึงถ้าทุกข์ทางใจ มันก็อย่างพวกเราน่ะได้ ทุกข์ใจ ไอ้พวกอมทุกข์นี่ เออ! ถ้าทุกข์อย่างนี้มันเป็นกิเลสทั้งหมดเลย ถ้าทุกข์ของพวกเรานี่นะ ไอ้พวกยังมืดบอดอยู่นี่
“ทุกข์ทางใจเป็นขันธ์หรือเป็นกิเลส”
เป็นขันธ์ด้วย เป็นขันธ์เพราะมันต้องมีขันธ์ มันต้องมีขันธ์ ๕ มันถึงจะเข้าใจของมันได้ ถ้าเข้าใจได้มันก็เป็นกิเลสด้วย นี่ขันธมารไง ขันธ์กับกิเลสเป็นอันเดียวกันไง แล้วถ้ามันไปอยู่ที่ใจ อยู่ที่จิตนะ มันก็เป็นอนุสัยไง มันก็เป็นอวิชชา ถ้าจิตมันมีอวิชชา ถ้าขันธ์มันมีขันธมาร ถ้าเป็นกิเลสนะ กิเลสมันก็ออกมารูปอย่างนี้ ถ้าเป็นขันธ์ก็ขันธมาร ถ้าเป็นใจ ใจก็เป็นอนุสัย อนุสัยมันนอนเนื่องมากับใจ อนุสัยมันเป็นกิเลสที่ละเอียดกว่า เพราะถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติแล้วท่านก็เห็นกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด
กิเลสหยาบๆ โมโหโทโสนี่กิเลสหยาบๆ แล้วถ้ากิเลสโมโหโทโสหยาบๆ นะ พระอรหันต์ทำไมเสียงดัง ยังมีอารมณ์รุนแรง
ไอ้นี่มันไม่รู้จัก ไม่รู้จักว่าเวลาธรรมพรั่งพรู เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่าฤทธิ์ที่มีอำนาจมากที่สุดคือบันลือสีหนาท บันลือสีหนาทก็คือด่ามึงนี่ บันลือสีหนาทก็คือการด่าคนนี่
เขาว่าด่าใช่ไหม แต่ถ้าเป็นธรรมก็เป็นเทศน์ไง บันลือสีหนาทฤทธิ์มันประเสริฐ นี่ไง บอกว่า เวลาบันลือสีหนาทราชสีห์คำราม มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ กิเลสที่อยู่ในใจมันก็หมอบหมดน่ะ นี่พูดถึงว่าถ้าคนเข้าใจนะ ถ้าคนเข้าใจ เรามีครูมีอาจารย์ เราจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ แต่ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์ไง เราไม่มีครูบาอาจารย์
เราจะบอกว่า ไอ้กลับหลังหันน่ะมันตั้งประเด็นมาเรื่อยๆ แล้วมันก็แหย่เรื่อยๆ ไอ้พวกนี้มันเป็นแง่มุมของเขา ไม่มีอะไรทำก็ตั้งประเด็นขึ้นมา แล้วพวกเราก็ต้องมาถกปัญหาบ้าบอคอแตก
สมาธิทำเป็นหรือเปล่า เป็นชาวพุทธแท้ไหม ถ้าเป็นชาวพุทธแท้มันต้องเคารพตน ถ้าเคารพตนมันก็ต้องมีสัจจะ พูดจริงทำจริง มันต้องมีสัตย์ คนซื่อสัตย์ คนมีสัตย์ทำอะไรทำจริง ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต เที่ยวทำลายเขา เที่ยวข่มเหงคนอื่น
แต่ถ้าเป็นความจริง ข่มกิเลสของตนให้อยู่สิ กิเลสในใจของตนน่ะ หน้าที่ของเราน่ะ เอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรานั่นน่ะ นี่ศากยบุตรพุทธชิโนรสเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำสัจจะความจริงขึ้นมาอย่างนี้มันจะเป็นความจริง
นี่พูดถึงถ้ามันเป็นเรื่องของกิเลสนะ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของฟังเขาเล่าว่า คือเป็นมุม แง่มุมของพระ เขาก็ตั้งประเด็นกันมาอย่างนี้ โอ๋ย! ถ้าจะรู้ก็ไปรู้ปฏิจจสมุปบาทนะ แหม! มันปัจยาการน่ะ มีภพมีชาติน่ะ แล้วพอคนเขียนเป็นอย่างนี้ปั๊บ ไอ้อีกฝ่ายหนึ่งก็บอกเลยบอกว่า การประพฤติปฏิบัติมันเป็นชาติปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ข้ามภพข้ามชาติ
โอ๋ย! ถกกันบ้าบอคอแตก แต่มันไม่รู้จักใจมันหรอก มันไม่รู้ว่าใจเป็นอย่างไร มันไม่รู้ว่าศาสนาเกิดที่ไหน ชัยภูมิของการฟาดฟันของกิเลสเขาทำกันตรงไหน ทำกันไม่เป็นหรอก ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำเป็นของเราไง
ฉะนั้น คำถามถามในการหาแง่หามุมไง มันเป็นเรื่องโลกๆ ไง แต่เราก็พูดแล้ว พูดจบแล้ว ฉะนั้นถึงบอกว่า ถ้ามันเป็นความจริงนะ เป็นแบบของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำจริง จิตนี้เหมือนนักท่องเที่ยว มันเที่ยวไปทั่ว มันรู้รอบขอบชิด มันร้อยแปด แล้วท่านกำจัดกิเลสจนสิ้นของท่านไป ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่
ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นครูเอกของโลก หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ ท่านมาฟื้นฟูของท่าน แล้วพวกเราประพฤติปฏิบัติตามกันมา แล้วเรามีครูบาอาจารย์ที่เป็นน้ำเป็นเนื้อให้พวกเราได้เป็นแบบอย่าง เราภูมิใจแล้ว
ไอ้ที่หลับตาแล้วมีแต่ขี้โม้ ไอ้กลับหลังหันน่ะ ไอ้นั่นปล่อยเขาไป มันเป็นเรื่องแบบว่าขนโคกับเขาโคไง คนโง่มากหรือคนฉลาดมากไง ถ้าคนฉลาด คนฉลาดมันก็ต้องหาเหตุหาผลสอนเราไง ไอ้คนโง่ก็เชื่อตามๆ กันไปเป็นอุปาทานหมู่ จับกันจูงกันแล้วก็เฮๆ อยู่นั่นน่ะ
เราตั้งสติไว้แล้วเราไม่ไปกับเขา เราตั้งสติของเรา เอาจริงเอาจัง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พิสูจน์กลางหัวใจนี้
นี่พูดถึงว่า พระอรหันต์มีทุกข์หรือไม่มีทุกข์
ถาม : เรื่อง “เสียงดังตูมคล้ายระเบิดขณะสวดมนต์คืออะไรครับ”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพนับถือ กระผมขอเรียนถามปัญหาดังนี้
๑. ปกติผมจะสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นทุกวัน มีบางครั้งที่จิตสัมผัสเสียงคล้ายระเบิดดังตูม คล้ายเป็นพลังอะไรสักอย่างอัดกระแทกใจ บางครั้งแรงจนสะดุ้งโหยงเลยครับ ทำให้นึกถึงหนังจีนบู๊ลิ้มที่จอมยุทธ์ต่อสู้กันโดยใช้กำลังภายในอัดกระแทกใส่กัน อาการนี้มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่ผมตั้งใจสวดมนต์ด้วยสมาธิจิต แต่ถ้าสวดแบบใจลอยหรือง่วงๆ จะไม่เกิดอาการแบบนี้ครับ เหตุเกิดขณะพักอยู่บนดอยแวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่มากมาย แต่ก่อนแต่ไรอยู่บ้านที่กทม. ก็เคยเป็นเหมือนกัน แต่แค่แผ่วๆ กระผมอยากเรียนถามหลวงพ่อว่า พลังตูมที่กระแทกมานั้นคืออะไรครับ
๒. ในบางครั้งก็รู้สึกมีฝีเท้าเดินหนักๆ รอบตัวกระผม ไม่ว่าจะนั่งหรือนอน สวดมนต์ กระผมจะรอจนกว่าสวดมนต์และภาวนาเสร็จจึงอุทิศส่วนกุศลไปให้สิ่งเหล่านั้น กระผมมักจะพูดลอยๆ ว่าท่านเป็นใคร มาทำไม ช่วยมาปรากฏในฝันแทนการมาให้เห็นจะๆ ด้วยเถิด กลัวก็กลัว แต่ก็อยากรู้อยากเห็นครับผม คำถามคือทำอย่างไรจึงจะสื่อสารกับพวกเขาได้ ขอน้อมกราบขอบพระคุณหลวงพ่อครับ
ตอบ : นี่สองข้อ ข้อที่ ๑. เสียงตูมๆ เสียงตูมเสียงสิ่งต่างๆ มันมี อย่างที่พูดเวลาเทศนาว่าการตลอด จะบอกจริตนิสัยของคน คนเรานี่นะ เวลาประสบการณ์ของคนไง ประสบการณ์ของคนๆ ถ้าคนที่มีวุฒิภาวะเสมอกันมันจะรู้เห็นเหมือนกันได้ ถ้าประสบการณ์ของคนวุฒิภาวะมันแตกต่างกันมันจะรู้เหมือนกันไม่ได้
ไอ้เสียงที่กระแทกตูมๆ เวลาเราไปประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราท่านไปปฏิบัติท่านจะหาที่แรงๆ ที่แรงๆ ถ้าที่แรงๆ มันจะมีเจ้าที่เจ้าทาง ว่าอย่างนั้นเถอะ เจ้าที่เจ้าทาง พวกภูตผีปีศาจมันมีของเขาอยู่อย่างนั้น นี่ผลของวัฏฏะๆ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีของมันอยู่อย่างนั้น
ทีนี้เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ชาวพุทธของเรา เราเกิดมาแล้วเราให้เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เชื่อสัจธรรม ให้เชื่อข้อเท็จจริงนั้น สิ่งที่เขาเป็นภูตผีปีศาจ เขาเป็นเจ้าที่เจ้าทาง เขาก็เสวยภพเสวยชาติของเขา เขาก็มีความทุกข์ความยากของเขาทั้งนั้นน่ะ ทุกคนก็เกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุขทั้งนั้นน่ะ
คนที่เกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุข ถ้ามีผู้ทรงศีล มีผู้สิ่งใดไป ถ้าเขาเป็นสัมมาทิฏฐิเขาก็เชิดชูบูชา ถ้าเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิไง มิจฉาทิฏฐิ ที่ของเขา เขาก็หวงก็แหน เขาไม่ต้องการให้เราเข้าไปในที่ทางของเขา ฉะนั้น นี่พูดถึงว่าสิ่งที่ผลของวัฏฏะนะ
ฉะนั้น คนที่มีอำนาจวาสนาสิ่งใด ถ้าโดยความดื้อรั้นโดยต่างๆ ถ้าไปเจอพวกที่แรงๆ โดนเหมือนกันหมด แต่เวลาคนของเราจะรู้จะเห็น จะรู้จะเห็นมันรู้เห็นจากจิตของเราไง ถ้าจิตของเรา เราประพฤติปฏิบัติ จิตของเรามีหลักมีเกณฑ์ เราจะรู้เห็นสิ่งอย่างนี้ บางคนเขาก็รู้เห็นของเขาได้ บางคนเขาก็ไม่รู้เห็นของเขา ถ้าไม่รู้เห็นของเขา
เวลาสิ่งที่เรารู้เห็นของเรา เวลาเสียงที่มันดังตูมๆ
ตูมก็คือตูม แล้วตูมทางซ้ายก็ให้ตูมทางขวาอีกทีหนึ่ง ตูมทางขวาก็จะให้ตูมข้างหน้า ตูมข้างหลัง ตูมก็ตูม ถ้าเรามีสติปัญญา มันเป็นเรื่องนามธรรมทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีสิ่งใดมาสั่นสะเทือนหัวใจของเราได้ถ้าเรามีสติปัญญาไง
แต่ถ้าเราไม่มีสติปัญญา สิ่งใดเสียงตูมๆ ตูมๆ มันคืออะไรล่ะ ตูมๆ มันเป็นสิ่งที่กระทบขึ้นมาให้เราไปรับรู้ ถ้าไปรับรู้แล้ว เราภาวนา ภาวนาเพื่อจิตสงบ เราภาวนาเพื่อเป็นสัจธรรม เราไม่ได้ภาวนาเอาเสียงตูมๆ
เสียงตูมๆ ก็ไปดูเขาซ้อมรบสิ ปืนใหญ่ยิงตูมๆ อยู่นั่นน่ะ เขาซ้อมรบ เขายิงกันอยู่นั่นน่ะ นั่นคืออะไรล่ะ นี่เราเห็นอย่างนั้นมันเกิดจากกระสุนปืน แต่เสียงตูมๆ ตูมๆ นั่นมันเกิดจากเรา เกิดจากเรามันเกิดได้ร้อยแปด มันเกิดได้หลายช่องทาง ถ้ามันเกิดได้หลายช่องทางนะ ถ้ามันเกิด เกิดเป็นประโยชน์กับเราหรือไม่
ถ้ามันเกิดเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ คนที่มีอำนาจวาสนามันมีเทวดา อินทร์ พรหมมาเชิดชู คนที่เขารู้เขาเห็นเขาจะเก็บของเขาไว้ในใจนะ เก็บไว้ในใจแล้วเขาจะไปสื่อสารกับครูบาอาจารย์ของเราไง ให้ครูบาอาจารย์ของเราชื่นใจด้วยว่าทำแล้วมันมีสิ่งตอบสนองอย่างนี้ ถ้าตอบสนองอย่างนี้ สิ่งที่ตอบสนองสิ่งอย่างไรมันก็เป็นผลกระทบจากอายตนะ ผลกระทบจากจิตของเรา เห็นไหม แต่ถ้าเราทำของเราๆ เราภาวนาเพื่ออะไร ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา นี่เป็นมรรค สิ่งที่เป็นมรรค เป็นมรรคเป็นการฝึกหัด เป็นการฝึกหัดให้ใจมันมีหลักมีเกณฑ์นะ ถ้ามีหลักมีเกณฑ์มันจะเข้ามาที่นี่ไง
แต่ถ้ากว่าจะเข้ามรรคๆ มันเข้าไปในทางปลีกย่อย ในข้างทาง มันไม่เข้าสู่ทางๆ แล้วก็ไปตื่นเต้น นี่มันอยู่ที่วาสนาของคน วาสนาของคนนะ ถ้าบารมีอ่อนนะ เห็นอะไรก็เชื่อ เห็นอะไรก็ว่าจริง เห็นอะไรก็ว่าแน่...ไร้สาระ
เราจะมีครูบาอาจารย์อย่างนี้ ครูบาอาจารย์ของเราจะคอยคัดคอยแยก เสียงก็คือเสียง ถ้าเสียงคือเสียง เสียงมันเกิดกับเราไง ถ้าเรานั่งกันอยู่ ๑๐ คน เสียงตูมขึ้นมาก็ต่างคนต่าง เออ! ต่างคนต่างวางท่านะ ฉันเป็นคนมั่นคง ฉันเป็นคนไม่ตื่นเต้น ไม่สนใจเลย แต่ถ้าอยู่คนเดียว แหม! ร้อยแปด คิดไปคนเดียวเลย ถ้าอยู่กัน ๔-๕ คนนะ แหม! ต่างคนต่างมั่นคง ไม่สนใจ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าอยู่คนเดียว ถ้าเราคิดอย่างนี้ก็ได้ เสียงก็คือเสียง ถ้าเราไม่สนใจมัน มันก็จบไปได้
ทีนี้คนเราแบบว่ามันมีเวรมีกรรมไง คำว่า “มีเวรมีกรรม” ถ้าเกิดพวกเวรพวกกรรมอยู่ข้างเคียงกัน เขาจะขอสิ่งใดอีกเรื่องหนึ่งไง ไอ้กรณีอย่างนี้ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การเกิดการตายของสัตว์โลกมันแตกต่างกันอย่างนี้ ฉะนั้น สิ่งใดที่มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นก็เป็นกรรมที่เราทำมา กรรมที่ทำมา
ก็ย้อนมาที่เราพูดนี่ เราพูดถึงสัจธรรม เราพูดถึงมรรค เราพูดถึงสัจธรรมในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว เราไม่เชื่อภูตผีปีศาจ เราไม่เชื่อเสียงตูมๆ ตูมๆ เสียงก็คือเสียง กลิ่นก็คือกลิ่น รสก็คือรส แล้วประสาทสัมผัสมันเกิดได้ แล้วมันเกิดได้ขึ้นมา เกิดได้ก็วาง รู้อะไรก็วาง คนภาวนามามันรู้มันเห็นทั้งนั้นน่ะ ถ้ารู้เห็นก็วาง ถ้าไม่รู้เห็น เห็นไหม
อย่างที่หลวงตาท่านพูด ท่านภาวนาของท่านไป พอจิตสงบแล้วเห็นมันเป็นเหมือนไฟพะเนียงขึ้นมาเต็มที่เลย ท่านก็อยากจะพิสูจน์ ท่านก็ไปกับมันน่ะ ไปกับที่ไฟพะเนียงมันพุ่ง ก็พุ่งๆ พุ่งไม่จบไม่สิ้น ท่านบอกท่านตามจนเหนื่อยเลย ไม่จบไม่สิ้นสักที เลิก กลับมา เลิก จบ นี่ถ้าพิสูจน์ๆ ก็เป็นอย่างนี้ มันล่อไง มันล่อให้ไปไง ถ้าคนมีสติปัญญาเขาไม่ไปหรอก นี่เรารู้ก็รู้ เราเห็นก็เห็น อืม! ก็เห็นนะ
คนเรา ความคิดของคนหนักแน่น บางคนอ่อนไหว มันก็มีทั้งนั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน เราไม่สนใจ เห็นก็เห็นนะ วัดก็อยู่ที่นี่ไง โยมมาวัดใช่ไหม เดี๋ยวโยมก็กลับบ้านโยมไป วัดก็ทิ้งไว้นี่ไง อย่าแบกวัดไปบ้านนะ เดี๋ยวตำรวจจะจับ
มาถึงก็เห็นวัดใช่ไหม เห็นเสร็จแล้วกลับบ้านก็กลับไปสิ วัดก็ทิ้งไว้นี่ นี่ก็เหมือนกัน จิตไปรู้ไปเห็นอะไรก็วางไว้สิ วางมัน มันมีของมันอยู่อย่างนั้นก็วางของมันไว้ มันจะมีอะไร
นี่พูดถึงเสียงตูมๆ ไง แล้วเขาถามว่าเสียงตูมๆ มันคืออะไร แต่มันกระแทกนะ กระแทกหัวใจเหมือนหนังกำลังภายในเลยล่ะ กระแทกดังตูมเลย
กระแทกก็คือกระแทก มันมีผลทั้งนั้นน่ะถ้าเราไปรับรู้ เห็นไหม ในทางการแพทย์นะ คนเราจะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย ๓ อย่าง อย่างหนึ่งคือการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยความเสื่อมสภาพของร่างกาย นี่เรื่องจริง อีกอย่างหนึ่งด้วยกรรม กรรมของสัตว์ เวลาผลบุญผลกรรมมันมามันเป็น อีกอย่างหนึ่งคืออุปาทาน แล้วเวลาเป็นอุปาทาน พวกหมอมันจะลอง เวลาเป็นอุปาทานนะ เขาฉีดยา เขาฉีดน้ำกลั่นไง ฉีดยา อ้าว! ฉีดยาแล้ว หาย หายทันทีเลย เพราะมันเป็นอุปาทานน่ะ
เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วย พระพุทธเจ้าบอกการเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์เป็น ๓ อย่าง นี่อยู่ในพระไตรปิฎกเลย
๑. เพราะความเสื่อมชราภาพเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องความจริง
๒. กรรม
๓. อุปาทาน
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่รู้ที่เห็นมันเป็นความจริงก็ได้ ถ้าเราเป็นอุปาทาน เราไปยึดมั่นมันมากขึ้นไป มันเป็นไปทั้งนั้นน่ะ ถ้าวางได้ ถ้าจิตเป็นปกติ จิตปกติคือสมาธิ สมาธิคือจิตปกติ จิตตั้งมั่น
แต่ในปัจจุบันนี้จิตของเราเป็นปุถุชน จิตเราไหลไปกับอารมณ์ความรู้สึก จิตเราไหลไปตลอด เราถึงพยายามทำความสงบของใจเข้ามาให้เป็นปกติ ปกติคือจิตเป็นสมาธิ สมาธิคือความปกติของใจ แต่ใจที่มันเป็นอยู่นี่มันไม่ปกติไง แล้วไม่ปกติมาตูมๆ ตามๆ อันนี้ไปใหญ่เลย นี่ถ้าพูดถึงเรามีปัญญาปั๊บ สิ่งที่เป็นปัญหาจะจบ
ฉะนั้น เขาถามว่า ตูมๆ มันคืออะไร
มันเป็นได้ มันมีที่มาเยอะแยะ มันเป็นไปได้หลายอย่าง ถ้ามันเป็นไปได้หลายอย่าง เพราะพูดอะไรปั๊บมันจะเป็นประเด็นทันทีเลย ต่อไปปั๊บใครตูมตามขึ้นมามันก็จะคิดเลย “โอ๋ย! เป็นอีกแล้วๆ”...ไม่เป็น ไม่ใช่ๆ ไอ้นี่มันของคนถาม ไอ้ของเรามันอีกตูมหนึ่ง
เวลาเขาซ้อมรบมันก็เป็นเสียงกระสุนปืนนะ เวลาเครื่องบินเอฟเวลามันทำเสียงบึ้มๆ ไอ้นั่นเสียงจากเครื่องบินนะ เวลาฝนตก เวลาก้อนเมฆมันมีพลังงานของมัน มันสันดาปกัน เสียงฟ้าร้อง เห็นไหม เสียงทั้งนั้นเลย แต่มันมาจากอะไรแตกต่างหลากหลาย นี่ก็เหมือนกัน เสียง แต่เรามีสติปัญญาของเรา เราเอาใจเราไว้ในอำนาจของเรา จบ
“๒. ในบางครั้งรู้สึกว่ามีเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เดินมารอบตัวของเรา”
กรณีอย่างนี้ ถ้านักปฏิบัติเรา เราเชื่อเรื่องจิตเรื่องวิญญาณอยู่แล้ว แต่จิตวิญญาณของสัตว์โลก จิตวิญญาณของสัมภเวสี จิตวิญญาณของผู้ที่เสวยภพเสวยชาติ นั่นเป็นจิตวิญญาณของเขา
ถ้าจิตวิญญาณของเขา ดูสิ ที่ว่าหลวงปู่จวน หลวงปู่จวนท่านไปอุทิศส่วนกุศลให้เปรตสองตนที่ภูสิงห์ เห็นไหม จากเปรตสองกลายเป็นเทวดาขึ้นมาเลย แล้วในพระไตรปิฎกบอกว่าผู้ที่จะรับบุญกุศลได้ต้องเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต เปรตชั้นหนึ่งที่รับบุญกุศลได้เท่านั้นๆ เปรตอย่างอื่นรับไม่ได้ ไอ้นี่มันเป็นข้อเท็จจริงไง แต่ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยบุญบารมี ด้วยคุณธรรม อีกเรื่องหนึ่ง มันจะแยกออกจากพระไตรปิฎกแล้ว
เคารพนะ พระไตรปิฎก เคารพมาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพมาก แต่โดยข้อเท็จจริงไง แอ็กซิเดนต์ คือสิ่งแปลกแยกเฉพาะมันมีอยู่บ้าง มันครอบคลุมได้ไม่หมดหรอก โดยหลักๆ เป็นแบบนั้น โดยหลักๆ คือผลของวัฏฏะ นี่โดยหลัก แต่คนที่มีคุณธรรมทำสิ่งนี้ มันทำได้
ทีนี้ย้อนกลับมานี่ไง ที่ว่ามันมีเสียงกระทบ เสียงต่างๆ
มันเป็นกรรมของสัตว์ๆ เราอุทิศส่วนกุศล สพฺเพ สตฺตา เราสพฺเพ สตฺตาของเรา เพียงแต่กรรมแบบว่ามันชัดแจ้งไง อยู่ในพระไตรปิฎกนะ มีบุคคลอยู่สองคนเป็นเพื่อนกัน ผลัดกันฆ่าคนละชาติ ผลัดกันฆ่ามาตลอด แล้วมีอยู่ชาติสุดท้ายเขาเกิดมาสองคน อยู่ในพระไตรปิฎก พอเขาออกไปป่า ไปเที่ยวป่าด้วยกัน ไปนอนอยู่ในถ้ำ อีกคนหนึ่งลุกขึ้นมากำลังจะฆ่าเพื่อน พระพุทธเจ้าเสด็จมาโดยฤทธิ์
โดยฤทธิ์พระพุทธเจ้าเสด็จไปไหนเหมือนคู้แขนเหยียดแขน พระพุทธเจ้าไปแล้ว จะไปไหนก็ได้อย่างนี้ เร็วกว่าเครื่องบินอีก พับๆ เลย พับ! มาเลย “หยุดก่อนๆ เธออย่าทำอย่างนั้น” พออย่าทำอย่างนั้น ให้ปลุกเพื่อนไง ให้เพื่อนเขาปลุกเพื่อนเขาขึ้นมา
พอปลุกเพื่อนขึ้นมาแล้วพระพุทธเจ้าเทศน์เลย เธอสองคนผลัดกันฆ่ามาอย่างนี้ ชาติที่แล้วไอ้คนที่นอนอยู่ฆ่าคนนี้ แล้วคนนี้ ทุกชาติๆ จะผลัดกันฆ่ามาทุกภพทุกชาติเลย ชาตินี้ปลุกขึ้นมาแล้วเทศนาว่าการให้เห็นโทษของมัน เห็นโทษของมันแล้วให้ขมาลาโทษกัน
ให้ขมาลาโทษ เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้ามันเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนรักกัน แต่ฆ่ากันอย่างนี้มาทุกภพทุกชาติ แล้วฆ่ากันมานี่ยาวไกลเลย จนมาชาติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลุกขึ้นมา
ทีนี้บอกว่าไอ้ที่ว่า เราเกิดเราตาย เรามีของเราไง เราเกิดมาเรามีเวรมีกรรมกันมาทั้งนั้น มนุษย์ที่เกิดมาไม่เคยเป็นญาติ ไม่เคยเป็นพี่น้องกันไม่มี การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเราเคยมีความสัมพันธ์อะไรต่อกันมา ถ้ามีความสัมพันธ์ต่อกันมา เรามาทำความสงบของใจเราเป็นสมาธิขึ้นมา ไอ้เสียงที่มันใกล้ชิดขึ้นมาก็ขอบ้าง ขอหน่อย ก็เรารู้จักกันไง เขารู้จัก แต่เราไม่รู้จัก
เออ! เวลาคนมันทุกข์มันยากมันรู้จักนะ คนติดคุกมันต้องการให้คนไปเยี่ยม คนติดคุก “เอ๊! เมื่อไหร่เพื่อนจะมาเยี่ยมสักที เมื่อไหร่เพื่อนจะมาเยี่ยมสักที” ไอ้อยู่ข้างนอกมันเพลิน ไม่เคยไปเลย ไอ้คนอยู่ในคุกมันรอเพื่อนมาเยี่ยมเลย
นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราสวดมนต์ เรานั่งสมาธิภาวนา สิ่งใดสิ่งหนึ่งมันเกิดขึ้นนะ สพฺเพ สตฺตา เพราะเราก็รู้ไม่ได้ว่ามันมีสิ่งใดที่มันผูกพันกันมา เราสพฺเพ สตฺตาไป สพฺเพ สตฺตาไปเพื่อประโยชน์กับเราไง นี่พูดถึงทำอย่างนี้
ทีนี้เพียงแต่ว่าเราดูหนังจีนมามาก เพราะว่าข้อที่ ๑. เสียงมันยังพูดถึงหนังจีนเลย ข้อนี้ก็เหมือนกัน อยากรู้อยากเห็น แต่กลัว ฉะนั้น ให้มาบอกในฝันนะ อย่ามาต่อหน้า มาต่อหน้าไม่ได้ นี่เวลาเขาเขียนมา เห็นไหม
มันเป็นจินตนาการ เป็นความคิดของเราไง มันก็เป็นที่เราคิดมากคิดน้อยได้ขนาดไหน แต่ถ้าเราตั้งใจดีของเรา เราก็ทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรานะ เพราะคำถาม “ทำอย่างใดถึงจะสื่อสารกับพวกเขาได้”
สื่อสารก็ความรู้สึกนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไง เวลาญาติของเราเสียชีวิตไป เราจะสื่อสารกับเขาไง อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ ให้ทำคุณงามความดีแล้วอุทิศส่วนกุศลให้กัน ใจถึงใจไง
นี่ก็เหมือนกัน เราระลึกถึงเขา มันระลึกถึงกันได้ด้วยความรู้สึก ด้วยใจไง เราก็ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขๆ เถิด จงเป็นสุขๆ เถิด เราพยายามอุทิศส่วนกุศลให้เขา นี่พูดถึงว่าเป็นประโยชน์กับเราไง
นี่พูดถึงข้อที่ ๑. ข้อที่ ๒. แล้วก็จบ
ถาม : เรื่อง “กระผมเมตตาขอหนังสือจากหลวงพ่อครับ”
ตอบ : ฉะนั้น เขาขอหนังสือมา ฉะนั้น เราได้สั่งเจ้าหน้าที่ให้เขาห่อเนาะ แล้วจะส่งไปให้ ส่งไปให้ไง เพราะว่าเราทำหนังสือเราก็อยากแจก แต่เขาเขียนมานะ“กระผมไม่มีโอกาสได้เดินทางไปที่วัด อาศัยฟังธรรมของหลวงพ่อทางเว็บไซต์ มีประโยชน์มากๆ ครับ”
นี่พูดถึงเขานะ คนที่ฝักใฝ่ คนที่แสวงหามันก็ได้ประโยชน์ไง คนที่เขาไม่แสวงหามันก็เรื่องกรรมของสัตว์ นี้เราทำของเราขึ้นมา ทำของเรา ก็เหมือนกับน้ำใจของเราน่ะ เพราะว่าก่อนจะบวช กว่าจะได้บวชก็เกือบตาย บวชมาแล้วยังโดนพระหลอกอีกเยอะแยะเลย กว่าจะจับหลักได้ กว่าจะมีครูบาอาจารย์ เพราะมันวิกฤติมาอย่างนี้ไง เพราะชีวิตของเรานี่แหละ เอาชีวิตเราเป็นที่ตั้ง
ฉะนั้น เวลาคนที่เขาบอกว่าเขาไม่เคยมาวัดเลย
ไม่ต้องมา ไม่ต้องมาหรอก ขอหนังสือก็ให้ แต่เดิมแต่ก่อนคนขอมาบางทีไม่ค่อยให้ ไม่ค่อยให้เพราะเราคิดว่าเขาไม่ได้ขอจริง บางคนเขาไม่ต้องการ เขาไม่ต้องขอ แล้วแบบประสาโลก ให้ธรรมเป็นทานๆ ก็ยัดเยียดกัน ไอ้คนนู้นก็นั่งแอ๊กต์ คนนู้นมาให้ คนนี้มาให้
เราแจกของเรา ถ้าใครปรารถนา ใครอยากได้ ให้ ถ้าใครไม่อยากได้ ไม่เป็นไร หนังสือของผมไม่เน่า หนังสือไม่เสียไม่หาย ไม่เป็นไรทั้งสิ้น แต่ทำเพราะอะไร ทำเพราะเราโดนหลอกมาเยอะ เราโดนหลอกมาเยอะ ฉะนั้น สิ่งที่เราโดนหลอกมาแล้ว ที่เราพูดนี่มันจะจริงหรือไม่จริงก็ต้องพิสูจน์เอา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกาลามสูตร อย่าเชื่อ อย่าเชื่อว่าไอ้หงบมันพูด อย่าเชื่อ แล้วพิสูจน์กัน พิสูจน์ความจริง เพราะเราเป็นนักพิสูจน์ เราพิสูจน์ความจริงขึ้นมา นี่เราทำเพื่อประโยชน์นี้
ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะมีวาสนา เขาไม่เคยโดนใครหลอกเลยก็สาธุ แต่เราโดนหลอกมาเยอะ โดนหลอกมาเยอะจริงๆ นะ โดนหลอกมาเยอะเพราะเรามีสติปัญญามาใคร่ครวญว่า ที่เขาสอนเรา ที่เขาบอกเราถูกหรือผิดไง แต่เดิมไม่รู้ แต่พอมามีหลักมีเกณฑ์มาพิจารณาดู ถึงบอกว่าโดนหลอกมาเยอะ หลอกทั้งนั้น หลอกทั้งนั้น
มาจริงตั้งแต่หลวงปู่จวน มาจริงตั้งแต่หลวงตา มาจริงตั้งแต่หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะ พวกไอ้เนียน ไอ้เขียวมันรู้ เถียงทุกคืนเลย เถียงกันทุกคืนเลย เถียงเพราะอะไร เถียงเพราะหาเหตุหาผล
หลวงตาท่านว่า เวลาครูบาอาจารย์ท่านเคารพหลวงปู่มั่นมาก แต่เวลาพูดท่านก็พูดด้วยจริงจัง
นี่ก็เหมือนกัน ที่เถียงๆ เถียงเพราะมันก็อยากรู้ มันก็อยากจะเข้าใจ ที่เถียงเพราะเหตุนี้ ไม่ได้เถียงเพราะจะเอาชนะคะคานหรอก จะชนะคะคานอะไรกัน พระสององค์ชนะก็ไม่ได้อะไร ชนะมันเป็นกิเลสเท่านั้นน่ะ แต่นี่มันอยากรู้ มันอยากรู้ มันอยากเข้าใจ เถียง เถียงใหญ่เลย เพราะงงมาก โดนหลอกมามาก เลยงงใหญ่เลย นี่ไง เวลามันจะจริงก็จริงอย่างนี้
ฉะนั้นถึงว่าขอหนังสือมา ให้ แล้วเดี๋ยวจะให้เจ้าหน้าที่เขาจัดส่งไปให้เนาะ เอวัง